หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

บอกรักแม่....

12 สิงหา วันแม่ 13 วิธีบอกรักแม่ แบบวัยรุ่น



เดือนนี้ก็ถือเป็นเดือนที่ดีอีกเดือนหนึ่งเลยทีเดียวนะคะ เพราะมีวันสำคัญๆมากมาย วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปีก็เป็น วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หรือที่ทุกคนทั้งประเทศเรียกว่า วันแม่แห่งชาติ นั่นเอง ^^
วันแม่แห่งชาติ ปี 2555 นี้ เพื่อนๆเตรียมตัวกันพร้อมแล้วรึยังเอ่ย จะทำเซอร์ไพร์สคุณแม่อะไรดีนะ? วันพิเศษทั้งทีเนอะ .. แต่ถ้าเพื่อนๆยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรให้คุณแม่ในวันพิเศษๆแบบนี้ teen.mthai จะมาช่วยเพื่อนๆคิดเอง ลองมาดูกันคะ ^^
กิจกรรม วันแม่
1. กอด หอมแก้มแม่สักฟอด
วิธีธรรมดาและง่ายที่สุด ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมามาย แต่ก็สามารถส่งต่อความอบอุ่นได้ดี ไม่ต้องใช้อะไร นอกจากอ้อมกอดจริงใจ เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อแม่ วิธีการ ก็ง่าย รอจังหวะที่แม่อารมณ์ดี และกำลังว่างอยู่ แล้วเราเดินไปหาแม่ บอกกับแม่ว่า “ขอกอดแม่หน่อยนะ” พร้อมกับสวมกอด หอมแก้มแม่สักฟอดใหญ่ๆ แล้วพูดว่า “ผมรักแม่ครับ/หนูรักแม่ค่ะ” เห็นม๊ะง่ายจะตาย .. แต่ะ teen.mthai ว่าถ้าเพื่อนๆเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยแสดงออกความรักกันมากนัก ต้องน้ำตาไหลพรากกันแน่นอน ^^

2. กราบเท้า พร้อมพวงมาลัยงามๆ หอมๆ ชื่นใจจัง
เพื่มความมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยวิธีการที่ทุ่มเทมากขึ้น มอบพวงมาลัยดอกมะลิที่ร้อยเรียงด้วยความรัก ถูกบรรจงวางลงกราบที่ตักแม่ ลูกก้มลงกราบแทบเท้า กอดแม่ แสดงความรักแม่และภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ ขอพรจากคุณแม่ อย่าน้อยสิ่งที่คุณแม่ต้องการคือได้เห็นหน้าลูกๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส แม่ก็พอใจมากแล้ว อาจเป็นตอนที่แม่กำลังดูละครหลังข่าวนั่นล่ะ คลานเข่าเข้าไปเลย วัยรุ่น กราบที่เท้าของท่าน พร้อมยื่นดอกมะลิที่เตรียมมา อย่าลืมประโยคเด็ด “ผมรักแม่ครับ/หนูรักแม่ค่ะ” อันนี้ตามสเตปต่อจาก การกอด เลย มันมาคู่กันนะ

3. ผลการเรียน การสอบหรูๆ ให้แม่ได้ชื่นใจ
วิธีนี้ไม่ต้องเป็นลูกๆ ที่เรียนเก่งก็ได้ ความจริงเหมาะสำหรับเด็กดื้อที่ตั้งใจเรียนน้อยๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะ จะได้ชี้ชัดไปเลยว่า เราตั้งใจทำเพื่อแม่จริงๆ โดยไปบอกกับแม่ ในวันแม่ว่า “ผม/หนู จะตั้งใจเรียน แล้วเอาเกรดดีๆ มาให้แม่ ครับ/ค่ะ” เป็นวิธียิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ทั้งแม่ดีใจ การผลการเรียนดีขึ้นไปพร้อมกันเลย
กิจกรรม วันแม่
4.พูดจาดี ไพเราะอ่อนหวานกับแม่
บอกเล่าความรู้สึกที่ดีๆ จากการบอกรัก…แม่ ด้วยการพูดจาดี ไพเราะอ่อนหวานกับคุณแม่ เรามีเวลาจะคอยพูดคุยกับคุณแม่ก็ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นนะ บอกรักต่อหน้าเวลาที่อยู่กับแม่ ถึงเเม้ว่าจะทะเลาะกับเเม่อยู่บ่อยๆ วันเเม่ปีนี้ ให้เลี่ยงสักวัน

5. พาแม่ไปทำบุญไหว้พระถวายสังฆทาน
พาแม่ไปเที่ยววัดที่แม่รักชื่นชอบเคารพศรัทธา หรือวัดใกล้บ้านที่สะดวกในการเดินทาง เพื่อไปทำบุญไหว้พระถวายสังฆทานแผ่เมตตาเสริมสิริมงคล หรือให้ไปทัวร์ 9 วัดก็ยังได้ อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มเสริมกำลังใจจากพลังศรัทธา ตลอดจนทำให้ท่านมีจิตใจสงบร่มเย็น

6. ให้ของขวัญพิเศษสุดแด่แม่เลย
หากอยู่คนละบ้านและมีครอบครัวใหม่แล้ว ควรพาภรรยาและลูกไปกราบคารวะแม่ที่บ้าน พร้อมหาของขวัญ ของกินของใช้ติดไม้ติดมือไปฝากแม่ โดยเลือกซื้อของสุดโปรดที่แม่ชอบ สิ่งที่แม่ต้องการมากๆ ก็คือเจอหน้าเรานั่นเอง
 กิจกรรม วันแม่
7. ทำอาหารจานโปรดของแม่ให้รับประทาน
ทำอาหารจานโปรดของคุณแม่ให้รับประทาน และอยู่กินกับข้าวกับเเม่ ถึงแม้ว่าเราจะทำไม่เป็นก็ตามทีเถอะ ขอเพียงแต่เราพยายามร่วมทำกิจกรรมของครอบครัว ให้แม่เห็นความพยายามของเรา เท่านี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว

8. ชวนแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
ชวนพ่อพาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ถามแม่ว่าอยากไปรับประทานอาหารที่ไหนดี หรือเราเสนอเลยก็ได้ เลือกรับประทานอาหารอร่อยและบรรยากาศที่ดีด้วยนะ ที่สำคัญขอให้แม่ลูกได้นั่งรับประทานอาหารร่วมกันเท่านั้นแม่ก็ชื่นใจแล้ว

9. พาแม่ไปเที่ยวพักตามสถานที่นอกบ้าน
พาคุณแม่ไปเที่ยวพักนอกบ้านตามสถานที่ต่างๆ จะพาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศและเป็นสถานที่ที่แม่อยากไป หรือจะพาแม่ไปนวดตัว นวดเท้า เพื่อสุขภาพในต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ สิ่งสำคัญต้องดูแลเอาใจใส่แม่อย่างใกล้ชิดนะจ๊ะ
กิจกรรม วันแม่
10. วันแม่ทั้งที ก็อยู่กับคุณแม่สิจ๊ะ
วันแม่ทั้งที ก็อยู่กับคุณแม่สิจ๊ะ และต้องเข้าใจในความรู้สึกของท่าน แม้เวลาจะนอน คืนนั้นขอนอนกับเเม่สักคืน ถ้าเขินก็บอกเเม่ว่าเกิดกลัวการนอนคนเดียวขึ้นมา ลดละเลิกนิสัยแย่ๆ ที่แม่ไม่ชอบ ถ้าทำให้แม่ได้รับรองได้ว่าแม่จะชื่นใจมากทีเดียว

11. ทำการ์ดอวยพรสวยๆ ให้แม่
ทำการ์ดอวยพรสวยๆ ให้แม่ หรือหาภาพสวยๆ ที่แม่ชอบมาติดภายในบ้านแม่ ในตำแหน่งที่แม่ชอบมอง หรืออาจจะแกล้งส่งภาพสวยๆ น่ารักหรือข้อความอวยพรที่ประทับใจให้เเม่ได้ดู ได้อ่านทางโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่เราอยู่ข้างๆ แม่นั่นแหละดี แต่อย่าเผลอแอบหัวเราะเสียก่อนนั้นแหละความจะแตก

12. เป็นคนดีของแม่ได้แล้วสิ
เป็นคนดีของแม่ได้แล้วสิ โดยเลิกนิสัยแย่ๆ ที่แม่ไม่ชอบ ปีนี้ลองตั้งใจให้ของขวัญวันแม่ด้วยการจะเลิกบุหรี่ เลิกเหล้า เลิกใช้เงินสิ้นเปลือง หยุดโต้เถียงกับแม่สักที นิสัยเหล่านี้ถ้าเราทำให้แม่ได้รับรองได้ว่าแม่จะชื่นใจจนอาจกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เชียวล่ะ

13. โทรศัพท์มาคุยกับแม่ (หากอยู่ไกล)
ในกรณีที่กลับบ้านไม่ได้ หากอยู่ห่างไกล และไม่สะดวกไปหาด้วยตนเอง โทรศัพท์หาเเม่สิ และโทรคุยนานกว่าปกติ ไม่คุยเรื่องเงิน เรื่องเรียน เรื่องเครียด และไม่ต้องเสียดายเงินค่าโทรศัพท์นะ คุยกับเเม่เราเอง คุยนานๆ และในวันคล้ายวันเกิดของเราด้วย
กิจกรรม วันแม่
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียง การแสดงความรักที่มีต่อแม่ของเราเท่านั้น แต่!เพื่อนๆ teen.mthai รู้ไหมคะว่า แม่ของเราทุกคนไม่ได้ต้องการอะไรจากลูกไปมากกว่าเราเป็นคนดี ขอให้เราได้อยู่กับท่าน ท่านก็ดีใจมากแล้ว เพื่อนๆคนไหนที่ได้อยู่กับคุณแม่ทุกๆวันก็ควรจะทำให้ท่านมีความสุขมากๆ ให้เวลา เอาใจใส่ท่านในตอนที่ท่านยังมีชีวิต และเรามีโอกาสก็ควรทดแทนพระคุณท่านที่ทำให้เราได้เกิดมา ดีกว่าจะรอให้ท่านจากไปแล้วเราต้องมานั่งเสียใจที่ไม่ได้ทดแทนพระคุณท่านเลยนะ ^^

พระคุณแม่



ใกล้ถึงวันแม่แห่งชาติ ก็ขอถือโอกาสนำเรื่องพระคุณของแม่ ในบางแง่บางมุมมาฝากพวกเรา ซึ่งหลายท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ ต้องทำหน้าที่ทั้ง ๒ อย่างควบคู่กันไป คือทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี พร้อมกันนั้น ก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดีไปพร้อมๆ กันด้วย

พระคุณของแม่ และแน่นอนรวมทั้งพระคุณของพ่อด้วย ในแง่มุมต่างๆ นั้น มีอยู่มากมาย จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและโบราณจารย์ต่างๆ ถึงกับสรุปออกมาว่า พระคุณของพ่อแม่มีมากจนกระทั่งว่า

ถ้าจะเอาแผ่นฟ้ามาแทนกระดาษ เอาน้ำในมหาสมุทรมาแทนน้ำหมึก เอาเขาพระสุเมรุ ที่ถือว่าเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุด มาแทนปากกา แล้วบรรจงเขียนพรรณนา พระคุณของพ่อ พระคุณของแม่ จนกระทั่งตัวอักษรเต็มผืนฟ้า น้ำทะเลหมดมหาสมุทร เขาพระสุเมรุทั้งลูกก็สึกราบเรียบไปหมด แม้กระนั้นก็ยังพรรณนาพระคุณของท่านไม่จบเลย

คำอุปมานี้บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่า มากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งจะว่ามากไปก็มีส่วนถูก จะว่าน้อยไปก็มีส่วนถูก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น เป็นใคร เพราะอย่าว่าแต่แผ่นฟ้า ทั้งผืนเลย แค่กระดาษชิ้นเท่าฝ่ามือ ถ้าให้คนบ้าเขียนพรรณนาพระคุณแม่ เขาคงเขียนไม่ได้ หรือถ้าเขียนได้ ก็คงเขียนไม่เต็มกระดาษแผ่นนั้น

ในเวลาเดียวกัน สำหรับผู้ที่เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ โดยเฉพาะเป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ ทั้งทางโลกและทางธรรม แผ่นฟ้าทั้งผืนก็ไม่พอที่จะเขียนพรรณนาพระคุณของแม่จริงๆ

เพราะฉะนั้น วันนี้หลวงพ่อจะกล่าวถึงพระคุณแม่โดยย่อๆ เพื่อให้พวกเราได้ทราบว่า พระคุณแม่นั้นมีมากมายอย่างไร

๑. ท่านให้กำเนิดเรามา พอพูดอย่างนี้ หลายคนอาจจะเถียงว่า แล้วถ้าแม่ทำแท้งเสียก่อนล่ะ ถ้าแม่ทำแท้งเสียก่อน เอ็งก็ไม่ได้มานั่งฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่อย่างนี้หรอก

๒. ท่านให้รูปร่างที่เป็นคนแก่เรา ภาษาพระใช้คำว่า แม่ให้โลกนี้แก่เรา ซึ่งฟังแล้วเราอาจ จะไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะคำว่า "โลก" ที่เราเข้าใจโดยทั่วไปนั้น หมายถึงโลกที่เราอยู่ แต่ว่าในความหมาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในความหมายทางธรรม ไม่ใช่เพียงแค่นั้น


พระสารีบุตรท่านเคยให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า สิ่งที่ยังฉิบหายได้เรียกว่า โลก แล้วท่านก็ให้ความหมายของคำว่า "โลก" เอาไว้โดยย่อมีอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. โลก หมายถึง สังขารโลก คือ ร่างกายและจิตใจของคนเรา สังขารโลกของใครก็ของคนนั้น

๒. โลก หมายถึง สัตวโลก คือ ยกเว้นตัวเราแล้ว สิ่งมีชีวิตนอกนั้นเป็นสัตวโลกทั้งหมด

๓. โลก หมายถึง โอกาสโลก คือ ช่องว่างให้สัตวโลกได้อยู่อาศัย โลกทั้งโลกที่เราอยู่ก็เป็น โอกาสโลกของมนุษย์ สวรรค์กี่ชั้นๆ ก็เป็น โอกาสโลกของเทวดา และนรกก็เป็น โอกาสโลกของสัตว์นรก

เพราะฉะนั้น พระคุณแม่ในข้อที่ให้โลกนี้แก่เรา คือ

ประการที่ ๑ ท่านให้ร่างกายพร้อมด้วยจิตใจกับเรา

ประการที่ ๒ ท่านทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของสัตวโลกทั้งโลกนั่นแหละ คือ สอนให้เรารู้จักคน รวมทั้งสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไปตามลำดับๆ

ประการที่ ๓ ท่านสอนให้เรารู้จักกับโอกาสโลก คือ แผ่นดิน แผ่นฟ้า แผ่นน้ำ ที่เราได้อยู่อาศัย

เพราะฉะนั้น พระคุณแม่เอาจริงๆ เข้าแล้ว มีตั้งแต่ให้โอกาสเรามีชีวิตจนกระทั่งออกมาดูโลก ให้รูปร่างที่เป็นคน แล้วก็หาพื้นที่บนโลกอย่างพอเหมาะพอสม ให้เราได้อยู่อาศัยอย่างมีความสุข

ส่วนคำว่า "สังขารโลก" คือ ร่างกายและจิตใจ หรือพูดง่ายๆ ว่า คือตัวเรา ถ้าพูดในเชิงธรรมะ ต้องบอกว่า

ตัวเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิง ไม่ว่าจะเป็นชาย จะสูงต่ำดำขาว จะโง่หรือฉลาด ก็ตาม ล้วนมีที่มา คือ กรรมดี กรรมชั่ว ที่สร้างข้ามภพข้ามชาติมานั่นเอง

แต่ถ้าพอเหมาะพอดีแก่กรรมของเราแล้ว แม่ไม่ให้ยืมท้องเกิด ต้องไปอาศัยท้องของคนอื่นเกิด นี่ยุ่งเลย เพราะของอาศัยจะให้ดีเท่าของจริงนั้น เป็นเรื่องยาก ยิ่งไปอาศัยท้องแม่ที่ไม่ได้เป็นคนล่ะก็ แย่เลย

เพราะฉะนั้น แค่แม่ให้อาศัยท้องเกิด ให้มีรูปร่างที่เป็นคน แล้วก็มีคุณภาพขนาดนี้ พระคุณของท่านไม่ต้องพูดกัน ว่าจะมากมายขนาดไหน

แม้ว่าบางคนเมื่อคลอดออกมาแล้ว อาจจะไม่หล่อ อาจจะไม่สวย หรืออาจจะพิกลพิการ บางส่วนไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งน้อยใจ อย่าไปตัดพ้อต่อว่าใคร ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองดีกว่า ว่าเราสร้างความดี มาไม่พอ เราทำกรรมมาไม่ดีเอง เราถึงได้เป็นอย่างนี้ และไม่ต้องพิกลพิการไปมากกว่านี้ก็ดีแล้ว


ยกตัวอย่างแม้ตาจะบอดไปสักข้าง หรือขาจะเป๋ไปบ้าง ก็ก้มหน้ารับกรรม ที่เราเคยทำมาเถอะ ได้เกิดเป็นคนก็ดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ยัง มีโอกาสสร้างความดี นี่ถ้าไปเกิดเป็นสุนัขล่ะก็ สร้างความดี อย่างนี้ไม่ได้หรอก

แต่ไม่ว่าจะมีสภาพอย่างไร เมื่อคลอดออกมาแล้ว แม่ก็เลี้ยงด้วยความเต็มอกเต็มใจ คอยประคบประหงม มาอย่างดี ไม่ได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์เลย เลี้ยงอย่างสุดฝีมือ เต็มกำลัง ของท่านทีเดียว

ความจริงเวลาที่ คลอดออกมาใหม่ๆ นั้น ตัวของเราแดง อย่างกับลูกนกอนาคต จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จะมีเชื้อพิการ หรือจะมีเชื้อโรคร้ายอยู่ในตัวบ้างหรือเปล่า ก็ไม่รู้ แต่ว่าแม่ก็ยัง สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดี เหนื่อยแทบตายก็เลี้ยง เสี่ยงเท่าไหร่ก็เลี้ยง ทั้งที่เราก็ไม่เคยรับปาก เลยว่า พอโตขึ้นมาจะทำ อะไรให้ท่านบ้าง สัญญาสักฉบับก็ไม่เคยทำให้ท่าน

ในขณะที่เราจะทำอะไรให้ใครสักอย่าง แค่จะให้เขายืมเงินสัก ๑,๐๐๐ บาท ๑๐,๐๐๐ บาท ยังต้องให้เขาทำสัญญาเสียก่อน แต่แม่เลี้ยงเรามาไม่รู้หมดเงินไปเท่าไหร่ สัญญาสักฉบับก็ไม่เคยมี
ถามว่าท่านโง่หรือ ท่านไม่ได้โง่หรอก แต่เพราะท่านมีความเมตตากรุณากับเราอย่างท่วมท้นนั่นเอง ท่านจึงเลี้ยงเรามา

เพราะฉะนั้น ถ้าใครเคยคิดตัดพ้อต่อว่าคุณแม่ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร แม้สักนิดหนึ่งก็ตาม วันแม่แห่งชาติที่จะถึงนี้ รีบไปกราบขอโทษท่าน หรือไม่ต้องรอจนถึงวันแม่แห่งชาติก็ได้ คืนนี้ไปกราบ ขอโทษท่านเสียดีๆ
ส่วนผู้ที่คุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว ก็กลับไปจุดธูปจุดเทียนไว้ให้ดี แล้วคืนนี้นั่งสมาธิส่งบุญกุศล ไปให้ท่านเยอะๆ


แล้วรูปร่าง ที่เป็นมนุษย์ ที่แม่ให้มานี้ดีอย่างไร ร่างกายมนุษย์เมื่อ เทียบกับร่างกายเสือ ร่างกายช้าง ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่ง ความแข็งแรง ก็สู้เสือ สู้ช้าง ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ร่างกายมนุษย์นี้ ก็เหมาะในการ ที่จะทำความดีได้ ทุกรูปแบบ ซึ่งสัตวโลก ชนิดอื่นทำไม่ได้

ยกตัวอย่าง เสือ ช้าง จะแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม มันก็ได้แต่แข็งแรงเท่านั้น จะเอาไปประกอบ คุณงาม ความดีอะไรก็ไม่ได้ แค่จะเอาอาหารไปฝาก แม่ของมันสักมื้อ ก็ยากแล้ว แต่มนุษย์ทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย

เพราะฉะนั้น รูปร่างของคนเรานี้ ถ้าเปรียบเป็นโรงงาน ก็เป็นโรงงานชนิด ที่สามารถผลิตความดี ได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด กว่าบรรดาโรงงานทั้งหลาย

ร่างกายที่มีประสิทธิภาพอย่างนี้ เราได้มาจากแม่ แม่ให้โรงงานนี้แก่เรา ไม่ใช่คนอื่นให้ และไม่ใช่เทวดาเสกมาให้ด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังขารโลกของเรา มีคุณตรงที่ว่า สามารถเอามา ประกอบคุณงามความดีได้สารพัด

แต่ว่าถ้าแม่ไม่ได้อบรม ไม่ได้สั่งสอน ไม่ได้ปลูกฝังให้เราทำแต่ความดีเรื่อยมาแล้ว เราก็อาจจะเอาสังขารโลกที่ได้มา ไปใช้ในทางที่เสื่อมเสีย หรือเอาไปใช้ถล่มทลายเหมือนอย่างกับหลายๆ คนในโลกนี้ ที่เขาถล่มทลายสังขารโลกของเขา ให้เราดู

ยกตัวอย่าง ที่เราต้องมาเป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ต้องมาต่อสู้ ต้องมารณรงค์กันทุกวันนี้ ก็เนื่องจากเห็นเขากำลังทำลายสังขารโลกของตัวเอง ด้วยการดื่มเหล้าบ้าง ด้วยการสูบบุหรี่บ้าง เราก็เลย ต้องมา เทเหล้าเผาบุหรี่ช่วยเขาอยู่นี่ ซึ่งถ้าไม่ได้คุณแม่ปูพื้นฐานมาให้ตั้งแต่ต้น เราก็คงจะมอง ไม่ออกเหมือนกัน

เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นทางแห่งความดีทั้งหลายของเรา จึงเริ่มต้นมาจากแม่ทั้งนั้น อย่านึกว่า ตัวเองเก่งไป แค่ท่านจับโยนลงถังขยะ หรือไม่ยอมให้เกิดในท้องของท่านล่ะก็ ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้กันหรอก


เพราะฉะนั้น พระคุณของแม่ที่อุปมาว่า พรรณนาจนกระทั่ง แผ่นฟ้าเต็มไปด้วยตัวอักษร น้ำในมหาสมุทรที่เอา มาแทนน้ำหมึก ก็เหือดแห้งไป และเขาพระสุเมรุ ที่เอามาใช้เป็นปากกา ก็สึกไปจนหมดนั้น ท่านหมายถึง แม่ประเภทที่ นอกจากให้ชีวิต ให้ร่างกายที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังให้การอบรมสั่งสอน ให้ลูกเป็นคนดีทั้งทางโลกและทางธรรม จนกระทั่งลูกสามารถ เข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ซึ่งเรียกว่า "แม่แก้ว" นั่นเอง

ไม่ใช่แม่ประเภทที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ อยู่นั่นแหละ เลี้ยงลูกแค่พอให้โตขึ้นมา แล้วต่างคนก็ต่างไป

"ลูกเอ๊ย แม่รักลูกมาก เอากะลานี้ไปขอทานนะ ถ้าเป็นคนอื่นแม่ไม่ให้หรอก"

หรือว่า "แม่รักลูกมาก แม่จึงสอนวิชาขโมยให้" อย่างนี้ไม่ใช่แม่แก้วแล้ว

ส่วนผู้ที่เป็นลูกก็เหมือนกัน นอกจากจะทำตัวเป็นลูกที่ดี เชื่อฟังและทำตามที่คุณแม่ ได้อบรมสั่งสอนอย่างดีแล้ว ถ้าคุณแม่ของใครยังไม่ทำทาน ยังไม่รักษาศีล ยังไม่นั่งสมาธิ ก็ต้องพยายาม ที่จะทำให้ท่าน รักในการทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิ จนกระทั่งท่านเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ลูกแก้วอีกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างกลับไปดูใจของตัวเองก็แล้วกัน ว่าเป็นแม่แก้ว หรือว่าเป็นลูกแก้ว กันหรือยัง

พระราชกรณียกิจ พระราชินี

พระราชินี กับ กำเนิดโครงการศิลปาชิพ
ทรงริเริ่มโครงการหัตถกรรมเพื่อช่วยเหลือราษฎร เป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านเขา เต่า จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๐๘ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลโท หม่อมเจ้าประเสริฐศรี ชยางกูร ราชคงรักษ์
เป็นผู้ควบคุมโครงการ โดยทรงชักชวนให้หญิงชาวบ้านเขาเต่า หัดทอผ้าฝ้ายขาย เพื่อเป็นอาชีพเสริม

โดยช่วงระหว่างที่ประทับอยู่ณ พระราชวังไกลกังวล ทรงได้มีพระราชเสาวนีย์ให้ไปขอครูทอผ้าจากโรงงานทอผ้า
บ้านไร่ จังหวัดราชบุรี มาสอนการทอผ้าให้แก่ราษฎรบ้านเขาเต่า พร้อมทั้งสร้างกี่ทอผ้าขึ้นท้ายวังไกลกังวล ทรงส่ง
รถไปรับชาวบ้านมาหัดทอผ้า เริ่มจากการทอผ้าขาวม้าและผ้าซิ่นเป็นส่วนใหญ่ พร้อมทั้งพระราชทานอาหารกลางวัน และค่าแรงแก่ผู้ทอ และโปรดเกล้าฯ ให้นางสนองพระโอษฐ์ช่วยกันดูแลเด็กเล็กลูกของราษฎร จนกระทั้งพระราชดำเนิน
กลับกรุงเทพมหานคร จึงบ้ายกิจการไปอยู่ใต้ถุนศาลาวัดเขาเต่า โดยเจ้าอาวาสวัดเขาเต่าและครูใหญ่โรงเรียนเขาเต่า
ช่วยดูแลต่อ

ปัจจุบันโครงการทอผ้าฝ้ายที่เขาเต่าได้เปลี่ยนแปลงเป็นกิจการของกรมการพัฒนา ชุมชน โดยพัฒนากรอำเภอหัวหิน เป็นผู้ดูแลโครงการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ มีการสอนการทอผ้า ย้อมสี ตัดเย็บ และสอนการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ป่านศรนารายณ์

โครงการศิลปาชีพอย่างเป็นทางการโครงการแรก คือ โครการทอผ้าไหมมัดหมี่ จังหวัดนครพนม เริ่มจากเสด็จพระราช ดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่ จังหวัดนครพนม ทรงสนพระราหฤทัยในซิ่นไหมมัดหมี่ที่หญิง ชาวบ้านนุ่ง เพราะมีความสวยงามแปลกตา เห็นว่าเหมาะที่จะเป็นอาชีพเสริมของชาวบ้านเนื่องจากทุกครังเรือนจะทอใช้กัน อยู่ แล้วทรงชักชวนให้ชาวบ้านเริ่มประกอบอาชีพเสริมด้วยการทอผ้าไหมมัดหมี่ และมีพระราชกระแสกับชาวบ้านว่า พระองค์จะ ทรงใช้ผ้าที่พวกเข้าทอซึ่งนับได้ว่าพระราชทานกำลังใจให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่าง มาก และทรงรับซื้อผ้าที่ชาวบ้านทอทุกผืน โดย ส่งรวมไป ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
โครงการศิลปาชีพอย่างเป็นทางการโครงการแรก คือ โครการทอผ้าไหมมัดหมี่ จังหวัดนครพนม เริ่มจากเสด็จพระราช ดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่ จังหวัดนครพนม ทรงสนพระราหฤทัยในซิ่นไหมมัดหมี่ที่หญิง ชาวบ้านนุ่ง เพราะมีความสวยงามแปลกตา เห็นว่าเหมาะที่จะเป็นอาชีพเสริมของชาวบ้านเนื่องจากทุกครังเรือนจะทอใช้กัน อยู่ แล้วทรงชักชวนให้ชาวบ้านเริ่มประกอบอาชีพเสริมด้วยการทอผ้าไหมมัดหมี่ และมีพระราชกระแสกับชาวบ้านว่า พระองค์จะ ทรงใช้ผ้าที่พวกเข้าทอซึ่งนับได้ว่าพระราชทานกำลังใจให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่าง มาก และทรงรับซื้อผ้าที่ชาวบ้านทอทุกผืน โดย ส่งรวมไป ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระราชดำริเกี่ยว กับการอนุรักษ์เต่าทะเล
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีน้ำพระราชหฤทัยห่วงใยที่เต่าทะเล ทรงตระหนักว่าทรัพยากรธรรมชาติ ทางทะเลของไทยนับวันมีแต่จะ ลดน้อยลง มีสัตว์หลายชนิดที่ใกล้จะ สูญพันธุ์ โดยเฉพาะเต่าทะเล เช่น เต่ามะเฟือง เต่าตนุ เต่ากระ เต่าหญ้า เต่าตาแดง ซึ่งในอดีตเคยมีเป็น จำนวนมาก บัดนี้ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากราษฎรนิยมเก็บไข่เต่าทะเลไปซื้อขายเพื่อประกอบอาหาร แม้กรมประมงจะ ขอแก้ไขกฎหมายประมง
เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ กำหนดให้ผู้ครอบครอง เต่าทะเลมีความผิดตามกฎหมาย แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการอนุรักษ์เต่าทะเล โดยได้ พระราชทาน
เกาะมันใน จังหวัดระยอง ซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้นถวายให้เป็น ทรัพย์สินส่วนพระองค์ จัดเป็น ศูนย์กลางอนุรักษ์และ เพาะขยายพันธุ์เต่าทะเล พระราชทานชื่อว่า โครงการสมเด็จฯอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เริ่มเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนจากกรมประมง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เต่าทะเล เพื่อนำไปใช้ในการแพร่ขยายพันธุ์ศูนย์อนุรักษ์และ เพาะขยายพันธุ์เต่าทะเลนี้

ต่อมาเมื่อโครงการสิ้นสุดลงได้ เปลี่ยนชื่อเป็น สถานีอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล สังกัดกรมประมง กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ห่างจากชายฝั่งอ่าวมะขามประมาณ ๖ กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ ๑๓๗ ไร่ อันมีสภาพภูมิประเทศเป็น ชายฝั่งยาว ๑,๒๐๐ เมตร กว้าง ๕๕๐ เมตร ประกอบด้วย หาดทรายและ โขดหินน้อยใหญ่จำนวนมาก เป็น แหล่งที่เต่าทะเลชอบขึ้นมาวางไข่ ทั้งเต่ากระและ เต่าตนุ ขณะเดียวกันก็ได้ มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อการอนุรักษ์เต่าทะเล โดยห้ามการจับและ มีไว้ในครอบครองอีกด้วย

ศูนย์ฯมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัยชีววิทยาของเต่าทะเลอนุรักษ์ และ เพิ่มจำนวนโดยการเพาะขยายพันธุ์ ปล่อยสู่
ทะเลตามธรรมชาติ โดยวิธีนำไข่เต่าทะเล ซึ่งส่วนใหญ่ได้ จาก เกาะคราม อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็น พื้นที่ในความดูแลของกองทัพเรือ นำมาเพาะฟัก และ อนุบาล เมื่อลูกเต่ามีอายุประมาณ ๖ เดือน จะ ติดเครื่องหมาย
เพื่อติดตามผล นำปล่อยลงสู่ทะเล ลูกเต่าส่วนหนึ่งนำไปเลี้ยงไว้เป็น แม่พันธุ์พ่อพันธุ์ต่อไป กรมประมงประกาศ
ขอให้ผู้พบเต่าทะเล ที่ติดเครื่องหมายนำส่งคืนศูนย์ เพื่อเป็น ข้อมูลศึกษาค้นคว้าวิจัย และ ยังทดลองเลี้ยงเต่า
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เพื่อให้ผสมพันธุ์และ วางไข่ ซึ่งประสบความสำเร็จ สามารถขยายพันธุ์ลูกเต่าให้มีจำนวน
มากขึ้น นำมาอนุบาลแล้วปล่อยคืนสู่ท้องทะเล
สถานที่ดำเนินการอนุรักษ์เต่าทะเล มี ๒ แห่ง คือ

1. เกาะมันใน ดำเนินการเลี้ยงเต่าทะเลตั้งแต่แรกเกิดจนโตขึ้น วัดขนาดตามที่กำหนดแล้วนำไปเลี้ยงไว้ในคอกในทะเลซึ่งมีเนื้อที่ขนาด ๓๐ ไร่ แล้วศึกษาเก็บข้อมูล
2. เกาะคราม อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ศึกษาวิจัยเก็บข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของเต่าทะเลตามธรรมชาติ โดยติดเครื่องหมายที่แม่เต่าทะเลที่ขึ้นมาวางไข่ประมาณเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม พบว่าแม่เต่าตัวเดิมจะ กลับมาวางไข่ห่างกัน
๒ - ๓ ปี หรืออาจจะ ถึง ๕ ปี และ เก็บข้อมูลแม่เต่าใหม่ที่ขึ้นมาวางไข่ และ ศึกษาพบว่ามีประชากรเต่าทดแทนกันพอสมควร

ในปัจจุบัน สถานีอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลในชื่อ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล อยู่ในการดูแลของกองทัพเรือ ที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี เปิดให้ประชาชนนักท่องเที่ยวเข้าชม และ ศึกษาหาความรู้เกี่ยว กับการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เต่าทะเล และ
ขายเต่าให้แก่ผู้ประสงค์จะ ปล่อยเต่า นำรายได้ ไปเป็น ค่าใช้จ่ายในการเพาะขยายพันธุ์และ ศึกษาวิจัยเต่าทะเลต่อไป รวมทั้งรับบริจาคด้วย

สถานีอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กรมประมง ที่จังหวัดระยองนี้ นอกจากดำเนินการศึกษาวิจัยการเพาะฟักไข่เต่าทะเล การผสมพันธุ์ การวางไข่ การอนุบาล การเลี้ยง ศึกษาพฤติกรรม ดูแลรักษาและ ป้องกันโรคของเต่าทะเลแล้ว ยังศึกษาค้นคว้าเกี่ยว กับปะการังชนิดต่างๆ การแพร่กระจายเติบโตของแนวปะการัง การอนุรักษ์และ ฟื้นฟูปะการังรวมทั้ง
ศึกษาวิเคราะห์การเจริญเติบโต การแพร่กระจายของหอยมือเสือ การปล่อยหอยมือเสือลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
และ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยว กับถิ่นที่อยู่อาศัยของพยูน การกระจายและ แพร่พันธุ์ การเจริญเติบโตของพยูน ตลอดจน
ศึกษาและ สำรวจแหล่งหญ้าทะเลชนิดต่างๆที่เป็น อาหารของพยูน สัตว์น้ำที่ใกล้จะ สูญพันธุ์ในประเทศไทยด้วย

นอกจากโครงการสมเด็จฯ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลจะ ได้ ดำเนินโครงการสนองพระราชปณิธานเกี่ยว กับการเพาะเลี้ยงเต่า
ทะเล เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติแล้วโครงการฯ ยังได้ นำเสนอต่อกระทรวงพาณิชย์ให้ออกประกาศห้ามส่งกระดองเต่าทะเลเป็น สินค้าออกตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๔ (ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๒๓) พร้อมทั้งเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับมาตรการอนุรักษ์เต่าทะเล
โดยห้ามครอบครองกระดองเต่าทะเลและ ผลิตภัณฑ์จากเต่าทะเล ผู้ใดฝ่าฝืนจะ มีโทรปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
หรือจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระราชภารกิจใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
เรื่องเล่าของ พลเอกณพล บุณทับ รองสมุหราชองครักษ์

พล.อ.ณพล บุญทับ ข้าราชการบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ได้ รับมอบหมายให้ไปติดตามสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ได้ เล่าเรื่องรายเกี่ยวกับ
โครงการต่างๆที่ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงดำเนินการ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไว้ดังนี้

โครงการราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้โครงการ
หนึ่ง คือ โครงการราษฎรอาสารักษาหมู่บ้านเกิดจากเมื่อปี ๒๕๔๗ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จฯเยี่ยมราษฎร ราษฎรใน ๕ หมู่บ้าน ได้ เข้ามาร้องไห้กับพระองค์ท่านแล้วบอกว่าอยู่ไม่ได้ แล้ว เพราะถูกรบกวนหนัก จนมีคนในตำบล
ตันหยงลิมอ ถูกตัดคอคามอเตอร์ไซด์ระหว่างไปกรีดยางตอนเช้ามืด ชาวบ้านบอกว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ชาวบ้านถามพระองค์ท่านว่าจะให้พวกฉันอยู่ที่นี่ หรือจะให้ไปจากที่นี่ สมเด็จพระบรมราชินีนาถรับสั่งว่าในเมื่อเราอยู่ที่นี่ เราทำมาหากินที่นี่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แล้วจะอพยพไปที่ไหนกัน

พระองค์ท่านก็ทรงพระกรุณาบอกทหารให้ส่งคนมาช่วยฝึกอาวุธให้ ตามที่ชาวบ้านได้ ถวายฎีกา และรับสั่งว่าที่ให้ฝึกนั้น
เพื่อป้องกันตัวเอง ป้องกันทรัพย์สินพี่น้องเรากันเอง ไม่ได้ มีเจตนาให้พวกเธอเที่ยวเอาปืนไปไล่ฆ่าใครต่อใครเขา ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้ รับสั่งเสมอว่าผู้บริสุทธิ์มีสิทธิ์อยู่บนแผ่นดินนี้ มีทั้งพุทธ และมุสลิมไม่ได้ แยกเชื้อชาต
ิศาสนา ใครขอมาก็ฝึกให้ ครูเองก็มาขอฝึก บอกว่าฝึกให้แต่ชาวบ้าน พวกครูยิ่งเสี่ยงอันตรายหนักเลย ฝึกลักษณะ
การรวมกลุ่มกัน ใช้อาวุธเข้าเวรยามในการรักษาหมู่บ้านซึ่งมีผลให้หมู่บ้านเกิดความปลอดภัย มากขึ้น ขณะนี้เป็น
ที่แน่ชัดว่ามีกลุ่มคนต้องการที่จะแบ่งแยกดินแดน เช่น มีการนำวิซีดีภำการตัดศีรษะไปแพร่ภาพในจังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็น
สิ่งที่น่าเป็นห่วง คนทำมีวัตถุประสงค์ให้ชาวบ้านหวาดกลัว และไม่อยากจะอยู่ในพื้นที่หากเราปล่อยเหตุการณ์ให้ลุกลาม
บานปลาย บ้านเมืองก็ จะแย่
โครงการฟาร์มตัวอย่าง

จากการฝึกอาวุธ ทุกคนก็ระวังตัวหมด ไปไหนก็ไม่กล้าไป เมื่อก่อนเคยขายของในเมือง ไปรับจ้างในเมือง ตอนนี้จะ
ไปคนเดียวก็ไม่กล้า เลยมีรับสั่งว่าจะช่วยเขาอย่างไรในเรื่องการทำมาหากินจึงได้ เกิดโครงการฟาร์มตัวอย่างขึ้นมา เพื่อจะสร้างงานให้กับชาวบ้าน คนไหนไม่กล้าไปทำงานในเมืองก็มาทำในฟาร์มทำการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัว
เลี้ยงสัตว์ สัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ และก็มีการทำประมงในครัวเรือน วันใดไม่มีกับข้าวก็สามารถช้อนปลาเป็นอาหาร นอกจากนั้นมีการเลี้ยงแพะนม ที่มีโปรตีนสูง ให้จ้างคนเข้ามาทำงาน เพื่อจะสอนให้เรียนรู้การทำเกษตรอย่างถูกหลัก
วิชาการ เมื่อทำเป็นแล้วก็จะได้ นำกลับไปทำในพื้นที่ของตัวเอง ได้ ผลผลิตเหลือจากรับประทานก็นำมาขายให้ฟาร์มรับซื้อ

การจัดตั้งฟาร์มนั้นอยู่ใกล้ๆกับแหล่งชุมชนเพื่อที่เขาจะได้ มาทำงานง่ายๆอย่างในบางแห่งเป็นกลุ่มของไทยพุทธอาศัย
อยู่ท่ามกลางกลุ่มไทย มุสลิม ผู้ไม่หวังดีก็ใช้วิธียุยงให้ราษฎรแตกสามัคคีกัน พระองค์ท่านทรงลงไปช่วย ๓๐ กว่าปี ช่วย
ให้เขาทำมาหากินได้ ทรงทำอย่างต่อเนื่อง เช่นเรื่องน้ำ บางบ้านน่าสงสานมาก เพราะขุดขึ้นมาน้ำเป็นสนิม ดีที่ช่วงนี้เป็นหน้าฝน จึงพอบรรเทาได้ บ้าง

พระองค์ท่านทรงยอมทำทุกอย่าง เหน็ดเหนื่อยพระวรกายเพื่อคนในชาติ ซึ่งเหมือนกับลูกของพระองค์ท่าน ไม่ว่า
เดือดร้อนมีปัญหาอะไร เช่นโครงการปะการังเทียม อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ชาวบ้านร้องไห้ว่าทำมาหากินไม่ได้ เคยทำประมงอยู่ชายฝั่ง ตอนนี้ปลาไม่มีจากนั้นตี ๓ พระองค์ท่านเรียกประชุม ๒ ชั่วโมงว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร ซึ่งมีสาเหตุจากอวนลากอวนรุน ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี เสนอการกำหนดระยะของการทำประมง คือ ระยะ ๕ กิโลเมตรจากชายฝั่งใช้เครื่องมือตกปลาขนาดเล็ก ระยะ ๕ – ๑๐ กิโลเมตร ให้ประมงปั่นไฟ และระยะ ๑๐ – ๑๕ กิโลเมตร อวนลากอวนรุนดำเนินการ แล้วก็ทิ้งปะการังเทียมเพื่อป้องกันการใช้อวนที่ระยะผิดประเภทไปในตัว และให้ปลาได้ อาศัยปะการังเทียมนี้เป็นที่หลบยามลมพายุแรงๆหรือใช้ชั้ง คือทางมะพร้ามถ่วงด้วยปูนซีเมนต์เพื่อให้ปลาเกาะอยู่ชายฝั่ง

พระองค์ท่านรับสั่งว่าอยากเห็นโครงการนี้เกิดขึ้นก่อนเสด็จฯกลับ ซึ่งตอนนั้นเป็นวันที่ ๒๔ กันยายน พระองค์ท่านเสด็จฯ
กลับต้นตุลาคม ทุฝ่ายก็รีบดำเนินการ นี่คือการแก้ปัญหาให้ไทยมุสลิมโดยตรง ที่ปัตตานี ไม้แก่น สายบุรี หนองจิก
อำเภอเมือง ปัตตานี จนถึงตากใบ นราธิวาสพอทิ้งไป ๖ เดือน ปลาก็มาวางไข่ ตอนนี้ปลาชุกมาก ชาวบ้านมีกินมีใช้ สามารถนำปลาไปขายได้ กฺโลกรัมละ ๒๐๐ – ๓๐๐ บาท นี่ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระราชินี ทรงผ้าไทยเสด็จฯ ไปทั่วหล้า
จากหนังสือวารสารราชบัณฑิตยสถาน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในโอกาสทรงเจริญพระชนพรรษา ๗๒ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ มีบทความของคุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี
เล่าถึงสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงผ้าไทยเสด็จฯ ไปทั่วหล้า ไว้ว่า

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงสนพระราชหฤทัยในผ้าซิ่นที่ชาวบ้านนุ่งอยู่ครั้งทรงเสด็จไป
เยี่ยยมราษฎร จังหวัดนครพนม และทรงจะจัดตั้งให้มีการทอผ้าเป็นอาชีพเสริมให้แก่ชาวบ้าน พระองค์ท่าน
เสด็จฯไป ทรงเยี่ยมราษฎรในฉลองพระองค์ด้วยผ้าที่พวกชาวบ้านทอชาว บ้านต่างตกใจ ว่านี่หรือเป็นผ้าที่เขา
ทอกันเองจึงเป็นกำลังใจในการทอให้แก่ชาวบ้านมากยิ่งขึ้น

จากสมัยก่อนที่มีความคิดอยู่ว่า ผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมมัดหมี่ ใส่แล้วจะดูแก่ ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เลย พระองค์ท่านก็โปรดฯให้ตัดฉลองพระองค์ถวายสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ทรงบ้าง ซึ่งปรากฏว่าก็งดงาม ปัจจุบันนี้
แม้กระทั่งพระเจ้าหลานเธอฯ ก็ทรง เป็นที่ยอมรับกันว่า ไม่ได้เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ แล้วก็เลยออกมาแพร่หลาย
มากมายเหมือนอย่างปัจจุบันนี้

พระองค์ท่านทรงสนับสนุนให้เขาทอมากขึ้น เปลี่ยนผืนให้ใหญ่ขึ้น จากนั้นตั้งเป็นมูลนิธิแล้วเอาผ้าที่รับซื้อมาจาก
ชาวบ้านออกเผยแพร่ให้คน รู้จัก ชักชวนให้ช่วยกันสนับสนุนฝีมือชาวบ้าน เป็นที่นิยมมาก สุภาพบุรุษ สุภาพสตรี
ทั้งหลาย ซื้อมาตัดใส่กัน แล้วก็แพร่หลายออกไปเรื่อยๆ ทรงใช้ช่างไทยในการตัดฉลองพระองค์ นอกเสียจากสมัยที่
เสด็จฯ ต่างประเทศ อากาศหนาวต้องใช้เสื้อแบบตะวันตก ก็จะมีช่างชาวต่างประเทศมาช่วยออกแบบบ้าง แล้วอีก
ประการหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงใช้ดีไซเนอร์ต่างประเทศบ้าง นอกจากที่จะให้เขาออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับประเทศ
นั้นๆ ที่จะเสด็จฯไปแล้ว อีกประการหนึ่งก็คือการที่ทรงให้ดีไซเนอร์ผู้นั้นได้มีโอกาสมาเลือกผ้าไหม ไทย แล้วก็เอา
ไปออกแบบตัดเย็บในห้องเสื้อของเขา ก็นับว่าเป็นการเผยแพร่ผ้าไทยให้ได้มีโอกาสไปอวดโฉมอยู่ที่นั่นให้เป็นที่
รู้จักกันมากขึ้น

การประกวดผ้าไหม จะมีดีไซเนอร์จากต่างประเทศขอเข้ามาชมมากขึ้นทุกปี อย่างเช่น มาดามฮานาเอะ มอริ
หลายคนขอมาเพื่อที่จะมาสัมผัสกับผ้าด้วยตนเอง แล้วเขาก็ตื่นเต้น เอาไปตัดเย็บไว้ในห้องเสื้อของเขา
พอลูกค้ามาเห็น ลูกค้าชอบใจก็จะสั่งตัด แล้วก็สั่งผ้าเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พระองค์ท่านมิได้ทรงช่วยให้ชาวไร่ชาวนาไทยมีรายได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นหากทรงเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รู้จัก
ประเทศไทยอย่างกว้างไกลในหลายๆ ด้าน ผ้าไหมไทยเป็นสิ่งสูงค่าที่ผู้คนชื่นชอบไปทั่วโลก ก็ด้วยพระบารมี
ขอบคุณที่มาจากเว็บ กระปุกดอทคอม
ดอกมะลิ ดอกไม้สัญลักษณ์วันแม่


ดอกมะลิ


ดอกมะลิ

ดอกมะลิ

ดอกมะลิ
          

          ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีขาวบริสุทธิ์ที่มีกลิ่นหอมชวนดมอย่าง "ดอกมะลิ" ถูกนำมาใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ "วันแม่" เพราะดอกมะลิเปรียบเสมือนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้ลูกน้อยไม่มีวันเสื่อมคลาย เหมือนกับความหอมของดอกมะลิที่หอมนาน และออกดอกตลอดทั้งปี นอกจากนี้ คนไทยยังนิยมนำดอกมะลิมาร้อยมาลัยบูชาพระ ดังนั้น ดอกมะลิ จึงเปรียบเสมือนการบูชาแม่ผู้มีพระคุณของลูก ๆ ทุกคน

อย่างไรก็ตาม ดอกมะลิ ดอกไม้ไทยแท้ชนิดนี้ ไม่ได้มีดีแค่ความหอม หรือนำไปร้อยมาลัย แต่ยังเป็นดอกไม้ที่มีประโยชน์อีกมากมาย รวมทั้งแฝงไว้ด้วยสรรพคุณทางยาในการช่วยบำบัดและรักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างดีเยี่ยมโดยที่เราคาดไม่ถึง

คงนึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะ ว่า ดอกมะลินี้มีอะไรดี ๆ มากกว่าที่เห็น ๆ กัน อย่างนั้นก็ต้องแนะนำให้รู้จักกันหน่อยแล้ว




ดอกมะลิ


ดอกมะลิ เป็นไม้ดอกไม้ประดับที่มีกลิ่นหอมเย็นใจให้ความรู้สึกสุขสงบ มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Jasmine ส่วนชื่อทางภาษานักพฤกษศาสตร์ที่ใช้เรียกขานกัน คือ Jasminum sambac (L.) Ait. เป็นพืชในวงศ์ Oleaceae ส่วนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นภาคใด ที่ไหนก็เรียกว่า ดอกมะลิ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีความสูงไม่มากนัก สูงอย่างเต็มที่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 เมตร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดอกมะลิได้รับความนิยมจากคนรักต้นไม้ให้เป็นตัวเลือกแรกที่จะปลูกไว้ในบ้าน มะลิเป็นไม้พุ่มที่แตกแขนงกิ่งก้านสาขาออกมามากมาย กิ่งอ่อนจะมีขนสั้น ๆ นุ่มมือ ใบเป็นแบบใบเดี่ยวออกในลักษณะตรงข้ามกัน ใบค่อนข้างกลม ปลายใบมน สีเขียวเข้ม ดอกเป็นแบบดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อก็ได้ โดยแต่ละช่อมี 2-3 ดอก กลีบเลี้ยงเป็นหลอดสีขาว กลีบดอกสีขาวนวลตา กลิ่นหอมอวล ไม่ฉุนจัดจนเกินไป เลี้ยงง่าย เติบโตไว ไม่ต้องการความเอาใจใส่ หรือต้องดูและอะไรเป็นพิเศษ

ดอกมะลิ

ดอกมะลิ

คุณค่าและคุณประโยชน์

คนสมัยก่อน นอกจากจะนิยมปลูกดอกมะลิเอาไว้เป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อชื่นชมกับดอกสีขาวสวยนุ่มนวลชวนมองแล้ว เขายังเก็บดอกมะลิตูมมาใส่พาน หรือถ้ามีเวลาว่างพอก็จะนำมาร้อยเป็นมาลัยกราบบูชาพระอีกด้วย กลิ่นหอมอ่อน ๆ อบอวลของดอกมะลิที่อยู่ในห้องพระ ให้ความรู้สึกสงบใจอีกต่างหาก

นอกจากนี้ยังนำดอกมะลิมาลอยในน้ำดื่มเย็น ๆ ให้แขกผู้มาเยือนได้ดื่มกันอย่างชื่นอกชื่นใจ หรือจะนำดอกมะลิไปลอยในน้ำเชื่อมกินกับขนมหวานไทย ก็ทำให้มีกลิ่นหอมชวนทาน แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่า ดอกมะลิที่นำมาใช้ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง

ส่วนประโยชน์ทางสมุนไพรของมะลิก็มีแทบทุกส่วนก็ว่าได้ ไล่กันไปตั้งแต่รากเรื่อยไปจนถึงดอกทีเดียว รากของมะลิแก้ได้สารพัดโรค ทั้งปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก เลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งช่วยรักษาหลอดลมอักเสบได้ด้วย หากนำรากมาฝนกินกับน้ำ แก้ร้อนในได้ดี คนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก ให้นำรากมาประมาณ 1-1.5 กรัม ต้มน้ำกินก็ช่วยได้

ส่วนใบใช้แก้ไข้ที่เกิดจากอาการเปลี่ยนแปลงได้ดี รวมทั้งรักษาอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย หากนำใบมาตำแล้วละลายกับน้ำปูนใส แต้มแผลฟกช้ำ แผลเรื้อรัง โรคผิวหนังจะหายไวขึ้น ตลอดจนช่วยบำรุงสายตา และขับน้ำนมสตรีที่มีครรภ์ได้ด้วย

สุดท้ายคือส่วนของดอก ดอกมะลิ นอกจากความสวยและความหอมแล้ว ยังแก้โรคบิด อาการปวดท้อง หากตำให้ละเอียดพอกที่ขมับ แก้อาการปวดหัวและปวดหูชั้นกลางได้ แถมยังช่วยรักษาแผลพุพอง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย รวมทั้งเป็นยาบำรุงหัวใจได้อย่างดีเยี่ยมอีกขนานหนึ่งด้วย

นี่แหละคุณค่าของ ดอกมะลิ ดอกไม้ไทยที่หาได้ง่าย ๆ ใกล้ ๆ ตัว ใกล้ใจ และใกล้มือจริง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

แม่ของแผ่นดิน

น้ำพระทัย แม่ของแผ่นดิน
หลายต่อหลายข่าวที่มีการลอบทำร้ายผู้บริสุทธิ์จากผู้ก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ช่างเป้นที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง และจากข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องคุณครูกอบกุล รัญเสวะ อายุ ๔๗ ปี ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านตือกอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ได้ จบชีวิตลงด้วยการรอบทำร้ายของผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ ได้ ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ์ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ทรงมีความห่วงใยพสกนิกรอยู่แล้ว ได้ พระราชทานพวงหรีดและมีพระราชหัตเลขาทรงยกย่องว่าเป็นครูยอดกตัญญู โดยมีใจความว่า

“ วังไกลกังวล หัวหิน
วันที่ 26 มิถุนายน 2548
ถึงคุณแฉล้ม รัญเสวะ คุณแม่ของคุณครูกอบกุลฯ ผู้กล้าหาญ

ข้าพเจ้าได้ ทราบข่าวจากหนังสือพิมพิ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 25 มิถุนายน 2548 ว่า นางสาวกอบกุล รัญเสวะ อายุ 47 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตือกอ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นบุตรสาวของคุณแฉล้ม รัญเสวะ อยู่บ้านเลขที่ 251 อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ถูกยิงด้วยปืนขนาด 11 มิลลิเมตร ที่กลางหลัง 2 นัด และที่แขนขวาอีก 2 นัด นอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่กลางถนน ระหว่างขับขี่รถจักรยานยนต์กลับไปบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียน 7 กิโลเมตร ในตอนพักกลางวันเพื่อป้อนข้าวคุณแม่ซึ่งเป็นอัมพาต เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2548ข้าพเจ้าได้ ทราบข่าวนี้ด้วยความสลดใจ และขอแสดงความเสียใจกับคุณแฉล้ม รัญเสวะ ที่ต้องสูญเสียบุตรสาวในคราวนี้ด้วย คุณครูกอบกุลฯ เป็นบุคคลที่สมควรได้ รับการยกย่อง เป็นแบบอย่างของครูที่ดี มีความกตัญญูต่อคุณแม่ผู้มีพระคุณ แต่ต้องมาถูกคนร้ายลอบสังหารอย่างทารุณ โดยไม่มีหนทางต่อสู้ คุณครูกอบกุลฯ เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่า ตนเองเป็นครูสตรี สร้างแต่คุณงามความดี ในการทำหน้าที่อบรมสั่งสอนเด็ก ไม่เคยคิดร้ายต่อผู้ใด คงจะไม่มีใครมาทำร้าย แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ก่อการร้ายไม่เคยคำนึงถึงคุณงามความดีของบุคคลที่ทำงานเสียสละเพื่อสังคม เห็นชีวิตผู้บริสุทธิ์เหมือนผักปลาจะฆ่าเสียเมื่อไหร่ก็ได้

ข้าพเจ้าทราบดีว่า ครูที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ทำงานเสี่ยงอันตรายตลอดเวลา เพื่อที่จะทำหน้าที่อบรมสั่งสอนเด็กๆ ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ การจากไปของคุณครูกอบกุล รัญเสวะ ครั้งนี้ นับเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของครอบครัวคุณแฉล้ม รัญเสวะ

ข้าพเจ้าจึงขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมา ณ โอกาสนี้ และขอแจ้งให้ทราบว่า ถ้าแม้นมีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะพอให้การช่วยเหลือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของคุณแฉล้ม เป็นการตอบแทนคุณงามความดีของคุณครูกอบกุลฯ ได้ บ้าง ก็ขอให้บอกไปให้ทราบ ข้าพเจ้าพร้อมจะให้การช่วยเหลือตลอดเวลา” ลงพระนามาภิไธย“สิริกิติ์”

ซึ่งในทุกๆวันเธอจะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านในช่วงพักกลางวันเพื่อไปป้อนข้าวแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เธอปฏิบัติเป็นประจำ แต่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2548 เวลา 11.00 น. ขณะที่คุณครูกอบกุล ได้ กลับบ้านเพื่อป้อนข้าวให้แม่ซึ่งกำลังนอนรอเธออยู่นั้น ระหว่างทางเธอได้ ถูกโจรก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ลอบสังหารอย่างอัมหิตแต่ความดีที่เธอได้ ทำไม่สูญเปล่า

คุณครูกอบกุล ไม่ใช่ครูคนแรก และไม่ใช่ครูคนแรกและไม่ใช่ผู้อำนวยการสถานศึกษาคนแรกที่ต้องเสียชีวิตเซ่นสังเวยความไร้สติ ยั้งคิดและขาดมนุษยธรรมของผู้ก่อการร้ายที่อ้างศาสนาทำลายล้างชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นาถได้ มีพระราชดำรัสต่อหน้าคณะบุคคล ประกอบด้วยคณะลูกเสือชาวบ้าน สมาชิกไทยอาสาป้องกันชาติ สมาชิกราษฎร อาสาพัฒนาป้องกันตนเอง สมาชิกกองหนุนรักษาความมั่นคงของชาติ สมาชิกราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า สมาชิกอาสารักษาหมู่บ้าน ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ตอนหนึ่งว่า

“พวกเราคนไทยทั้งหลาย พลังทั้งหลายเหล่านี้ช่วยกันรักษากฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์ได้ โดยไม่ต้องถืออาวุธอะไรเลย เพื่อจะนำความสงบสุขคืนมาสู้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว ช่วยให้พี่น้องคนไทยผู้บริสุทธิ์ ได้ ประกอบสัมมาอาชีพ และมีชีวิตอยู่ในผื่นดินเกิดอย่างปลอดภัย

ถ้าทุกคนสามารถทำได้ เช่นนี้ รวมใจกัน รวมใจรวมหัวคิด รวมพลังกัน ประณามออกไปว่าการกรำทำเช่นนี้เป้นการกระทำที่เราอยู่เฉยไม่ได้ เพราะเป็นการกระทำที่เป้นผลร้ายอย่างยอดเยี่ยม ผลร้ายอย่าสาหัสแก่ประเทศชาติของเรา ซึ่งพวกท่านทั้งหลายได้ สาบานไว้แล้วว่าจะปกป้องประเทศชาติ ผลร้ายอย่างสาหัสแก่ประเทศชาติของเรา ซึ่งพวกท่านทั้งหลายได้ สาบายไว้แล้วว่าจะปกป้องประเทศชาติ ถ้าทุกคนทได้ เช่นนี้ทุกหมู่บ้านก็จะอุ่นใจ เพราะเราต่างดูแลซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ข้าพเจ้าหวังให้ประเทศชาติของเรากลับเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข และมีรอยยิ้มเหมือนแต่เก่าก่อน...”

ความสูญเสีย ความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์โศกโดยเฉพาะคนเป็นพ่อแม่ที่ลูกต้องกลายเป้นเหลื่อ และเสียชีวิตสังเวยความอำมหิตของพวกที่มีจิตใจเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ แต่ความทุกข์จากความสูญเสียของแต่ละครอบครัวคงไม่สามารถเทียบได้ แม้เพียงเศษเสี้ยวความทุกข์พระราชหฤทัยของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไม่ว่าจะเป็น ไทยพุทธ ไทยมุสลิม หรือคนไทยที่นับถือศัรัทธาเลื่อมใสในศาสนาใด แต่ที่แน่ๆ ทุกคนคือคนไทย คือลูกของแผ่นดินไทย

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประวัติวันแม่
                แม่...คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่าแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า รักให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพและเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า ลูกรักแม่
                ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ. 2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้านหรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
                สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุนซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
                ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทยเห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา